เมื่อเวลา 18.28 น. ของวันที่ 29 ส.ค. 66 บนกลุ่มเฟซบุ๊กสาธารณะ siamensis.org มีการโพสต์สอบถามความคิดเห็นจากบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า โจ ท่าจีน โดยผู้โพสต์ได้มีการนำภาพของเมนูอาหารจานหนึ่งเผยให้เห็นหมึกที่เป็นวัตถุดิบในอาหารจานนี้ ผู้โพสต์เล่าว่าเพื่อนของตนเองได้ไปพบเจอมาจากร้านอาหารแห่งหนึ่ง เมื่อสังเกตรอบ ๆ ตัวของหมึก พบว่ามีวงสีน้ำเงินกระจายอยู่บริเวณหนวดคล้ายกับ หมึกบลูริง หรือ หมึกสายวงน้ำเงิน ซึ่งเป็นหมึกสายพันธุ์ที่มีพิษร้ายแรงที่ทำให้เสียชีวิตได้ ทางด้านผู้โพสต์จึงได้เข้ามาสอบถามเพื่อน ๆ ในกลุ่มเพื่อยืนยันว่าหมึกที่พบตามภาพใช่หมึกบลูริงหรือไม่
ทางด้านสมาชิกกลุ่ม siamensis.org ได้เข้ามาตอบคอมเมนต์ผู้โพสต์ พร้อมทั้งยืนยันว่าหมึกที่พบบนอาหารจานนี้ เป็นหมึกบลูริงจริง ๆ รวมทั้งยังถามด้วยว่าเป็นเมนูมาจากร้านไหน แล้วเพื่อนของผู้โพสต์เผลอรับประทานเข้าไปหรือไม่? ขณะเดียวกันทางด้าน อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ได้มีการแชร์โพสต์ดังกล่าวนี้ออกไป พร้อมทั้งยืนยันตามเสียงคอมเมนต์จากต้นทางว่า หมึกที่พบเห็นเป็นหมึกบลลูริง มีพิษร้ายแรงแม้ว่าจะนำไปประกอบอาหารผ่านความร้อนสูงก็ตาม แต่พิษของหมึกบลูริงจะยังคงอยู่ เพราะพิษมีคุณสมบัติทนความร้อน หากรับประทานเข้าไปอาจส่งผลอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต ทั้งนี้ในใต้โพสต์ของ อ.เจษฎา มีผู้เข้ามสอบถามว่า หากไม่ได้รับประทานหมึกบลูริงโดยตรงแต่ทานหมึกที่หมักในชามเดียวกันร่วมหมึกบลูริงจะมีโอกาสได้รับพิษหรือไม่ โดย อ.เจษฎาได้ให้คำตอบว่า มีโอกาสได้รับพิษน้อยกว่าทานหมึกบลูริงโดยตรง
สำหรับหมึกบลูริง ก่อนหน้านี้เคยเป็นกระแสมาช่วงหนึ่ง หลังมีการพบวว่าถูกนำมาวางขายปะปนบนแผงอาหารทะเลร่วมกับหมึกชนิดอื่น ๆ ที่ทานได้ รวมถึงยังมีการพบเจอหมึกบลูริงที่ปะปนร่วมกับอาหารทะเลอยู่ในร้านหมูกระทะ และยังมีการพบเจอหมึกบลูริงนำมาเสียบไม้ปิ้งขาย จึงทำให้ชื่อของหมึกบลูริงได้รับความสนใจขึ้นมาในช่วงเวลานั้น ความอันตรายของหมึกบลูริงอยู่ที่พิษของมัน เพราะมีฤทธิ์ร้ายแรงกว่าพิษของงูเห่าถึง 20 เท่า และยังทนความร้อนได้ถึง 200 องศาเซลเซียส ซึ่งวิธีสังเกตว่าหมึกชนิดไหนเป็นหมึกบลูริงนั้น ให้ดูลักษณะวงสีน้ำเงินที่ปรากฏตามหนวดและลำตัวอย่างเด่นชัด โดยหมึกบลูริงจะมีขนาดตัว 4 -5 เซนติเมตร หากพบหมึกตามลักษณะนี้ห้ามรับประทานเด็ดขาด